วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

09/11/59 TMB มองภาพรวมสินเชื่อปีหน้าโตได้ 6% การลงทุนภาครัฐ-เอกชน ช่วยหนุน


ประจำวันที่09/11/59

       



 TMB หั่นเป้าสินเชื่อปีนี้เหลือโต 3-5% โดยมองว่า ศก.ไทย ยังชะลอ คาดภาพรวมสินเชื่อปีหน้าโตได้ 6% ตามจีดีพีในปี 60 ที่คาดว่าจะเติบโต 3.5% จากการลงทุนภาครัฐ และการกลับมาลงทุนมากขึ้นของภาคเอกชนเป็นปัจจัยหนุน 
       นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารกลยุทธ์องค์กร บมจ.ธนาคารทหารไทย หรือ TMB เปิดเผยว่า ธนาคารได้ปรับลดเป้าสินเชื่อปีนี้ลดลงเหลือโต 3-5% จากเป้าหมายที่ประเมินไว้ในช่วงกลางปีที่เติบโต 6-8% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยยังมีการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
       แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาจะดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม แต่ความต้องการสินเชื่อยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่ในกลุ่มของผู้ประกอบการทั้ง SMEs และธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ชะลอการใช้สินเชื่ออย่างเห็นได้ชัด คาดว่าเป็นผลมาจากความไม่มั่นใจแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ชัดเจน ทำให้เกิดการชะลอการลงทุนอยู่
       ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา สินเชื่อผู้ประกอบการทั้ง 2 กลุ่ม ยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง และเป็นผลให้สินเชื่อรวมของธนาคารในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เติบโตเพียง 2.4% โดยมีสินเชื่อที่เติบโตได้อย่างโดเด่นในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา คือ สินเชื่อบ้าน และบัตรเครดิต
       อย่างไรก็ตาม ธนาคารคาดว่าแนวโน้มของสินเชื่อรวมในไตรมาส 4/59 จะสามารถขยายตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3/59 ที่สินเชื่อรวมไม่มีการขยายตัว เพราะในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีเป็นช่วงเทศกาลที่จะมีผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการต่างๆ อาจจะมีความต้องการใช้สินเชื่อเพื่อนำเงินไปลงทุน เนื่องจากต้องรองรับการดำเนินงานในปีหน้า ซึ่งจะช่วยหนุนการขยายตัวของสินเชื่อรวมในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
       นายเบญจรงค์ กล่าวว่า ธนาคารได้ประเมินการขยายตัวของสินเชื่อรวมในปีนี้ โดยเบื้องต้นตั้งเป้าเติบโตมากกว่า 6% ตามการประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 60 ที่คาดว่าจะเติบโต 3.5% จากการลงทุนภาครัฐและการกลับมาลงทุนมากขึ้นของภาคเอกชนเป็นปัจจัยหนุน ซึ่งทำให้สินเชื่อในภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ในปี 60 จะเติบโตได้ที่ 6%
       ขณะที่แนวโน้มสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในไตรมาส 4/59 คาดว่าจะยังมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/59 ที่ 2.5% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวยังส่งผลกระทบทำให้ NPL เพิ่มขึ้น ทำให้ธนาคารต้องมีการตั้งสำรองฯ เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาส 4/59 จากไตรมาส 3/59 ที่ตั้งสำรองฯ อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท เพราะธนาคารยังต้องป้องกันความเสี่ยง และรักษาความแข็งแกร่งของธนาคารไว้ รวมไปถึงรักษาระดับ coverage ratio ให้อยู่ในเป้าหมายที่ระดับ 140-145% ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 143% และ ในปีนี้ธนาคารเชื่อว่าจะยังคงควมคุมระดับ NPL ให้อยู่ที่ 2.5-3% แต่ยอมรับว่าแนวโน้ม NPL มีโอกาสเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดได้ในช่วงต้นปี 60
       "กลุ่มที่ธนาคารยังต้องจับตาดูเป็นพิเศษ คือ กลุ่มสินค้าเกษตรกร และอุตสาหกรรมพาณิชย์ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว ทำให้การจับจ่ายใช้สอยอาจจะยังกระเตื้องได้ไม่มาก และยังมีเรื่องความผันผวนของราคาสินค้าที่เข้ามากระทบอีก" นายเบญจรงค์ กล่าว

       สำหรับความคืบหน้าการขายหุ้น TMB ที่กระทรวงการคลัง และ ING ถืออยู่นั้น นายเบญจรงค์ ระบุว่ ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน เพราะป็นเรื่องของผู้ถือหุ้นที่ต้องเป็นผู้พิจารณาจะถืออยู่หรือขายออกไป ซึ่งสำหรับทีมบริหารของธนาคารมีหน้าที่สร้างผลตอบแทนและกำไรให้มีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ โดยที่ผ่านมา ธนาคารได้มีความร่วมมือกับ ING เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องดิจิตอลแบงก์กิ้งที่ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของธนาคารในอนาคต 


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :  http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000111997

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

7/11/59" RAM จะใช้เงิน 400 ลบ.ร่วมลงทุน 14.54% ในธุรกิจรพ.ใหม่ขนาด 300 เตียงในกทม. เปิดบริการปี 63 "


ประจำวันที่07/11/59

บมจ.โรงพยาบาลรามคำแหง แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันศุกร์ มีมติให้ร่วมลงทุนในบริษัท เอนคอร์ (2016) จำกัด จำนวน 4 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 100 บาท รวมเป็นเงิน 400 ล้านบาท โดยบริษัทจะเข้าถือหุ้น 14.54% เพื่อร่วมลงทุนประกอบกิจการโรงพยาบาลขนาด 300 เตียง บนนถนนสุขาภิบาล 3 กรุงเทพฯ มีงบประมาณในการลงทุนราว 3 พันล้านบาท ซึ่งโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 17 ไร่ คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินกิจการได้ในปี 63

สำหรับการลงทุนครั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีประมาณ 10% ซึ่งมากกว่าอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาด โดยบริษัทจะได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูปเงินปันผลในอัตราที่น่าพอใจ โดยแหล่งเงินที่ใช้จะมาจากการดำเนินงานของบริษัท และกู้จากสถาบันการเงินภายในประเทศ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :http://www.ryt9.com/s/iq10/2544159

วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559

22/10/59 "บัวหลวง" ซื้อ "อาร์เอส"



ประจำวันที่ 22/10/59





เข้าฮุบ 4.85% จากตระกูลเชษฐโชติศักดิ์
นายดามพ์ นานา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS เปิดเผยว่า ช่วงหลังปิดตลาดวันที่ 21 ต.ค.2559 ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อหลักทรัพย์ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ หรือ Big Lot จากตระกูลเชษฐโชติศักดิ์ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอาร์เอส จำนวน 49 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 4.85% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
“การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ส่งผลให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เข้ามาเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของอาร์เอส ขณะที่นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ยังคงเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งเช่นเดิม โดยเหตุผลของการเข้ามาถือหุ้นครั้งนี้ เป็นการลงทุนระยะยาวตามนโยบายการลงทุนของธนาคารกรุงเทพ และจะไม่มีผลกระทบใดๆ เกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารงานของบริษัทฯ”

นายดามพ์ กล่าวว่า กว่า 30 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มบริษัทอาร์เอสฯ อีกทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินหลักของกลุ่มบริษัทอาร์เอสฯ มาโดยตลอด ทำให้ธนาคารมีความรู้และเข้าใจในธุรกิจหลัก โดยเฉพาะธุรกิจสื่อ เช่น โครงการทีวีดิจิทัล สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ธุรกิจสุขภาพและความงาม และธุรกิจอื่นๆ ของกลุ่มบริษัทอาร์เอสฯ ดังนั้น ด้วยศักยภาพและทิศทางการดำเนินธุรกิจของอาร์เอสฯ รวมทั้งพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง จึงตอบโจทย์การลงทุนครั้งนี้ของธนาคารกรุงเทพ เป็นอย่างดี.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.thairath.co.th/content/760986

21/10/59 EPCO ฉลุย ทุ่ม 267 ล. ลงทุนโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ 5 MW



ประจำวันที่ 21/10/59




ผู้ถือหุ้น EPCO ผ่านฉลุย! แผนทุ่มลงทุน 267 ล้านบาท เข้าถือหุ้น 48% โซลาร์ฟาร์มสหกรณ์ปราจีน ขนาดกำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ พร้อมอนุมัติเพิ่มทุน 96 ล้านหุ้น-แจกวอแรนต์ฟรีในอัตรา 8:1 ราคาใช้สิทธิ 9 บาท รองรับแผนขยายการลงทุนโรงไฟฟ้า-คืนหนี้สถาบันการเงิน บิ๊กบอส "ยุทธ ชินสุภัคกุล"มั่นใจช่วยผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต ชี้เพิ่มสัดส่วนรายได้ที่คงที่-ลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EPCO) เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 2/2559 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมามีมติอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 765,585,412 บาท เป็น 861,283,589 บาท โดยออกหุ้นสามัญจำนวน 95,698,177 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท รวม 95,698,177 บาท รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมครั้งที่ 2 (EPCO-W2) จำนวน 95,698,177 หุ้น ในอัตรา 8 หุ้นเดิมต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ อายุใบสำคัญแสดงสิทธิไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่ออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาใช้สิทธิที่จะซื้อหุ้น หุ้นละ 9 บาท โดยสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ครั้งแรกได้ในวันทำการสุดท้ายของเดือนพฤษภาคม 2560
ทั้งนี้ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 2 (Record Date) ในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 และให้รวบรวมรายชื่อตาม ม.225 ของพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 โดยบริษัทฯเตรียมนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้า และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งมั่นใจว่าจะช่วยผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มติอนุมัติให้บริษัท อะควาติส เอ็นเนอร์จี จำกัด (Aquatist) ซึ่งถือหุ้น 100% ของทุนจดทะเบียน โดย บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 75.00% เข้าทำรายการการได้มาซึ่งสินทรัพย์ โดยการเข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัทที่จะรับโอนสิทธิเข้าเป็น "ผู้สนับสนุนโครงการ" สัดส่วน 48.00% ของทุนจดทะเบียน โดยมีสิทธิในการลงมติและรับเงินปันผลในสัดส่วน 99.99% ในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินตามสัญญาใช้สิทธิขายไฟฟ้าร่วมกับสหกรณ์การเกษตรเมืองปราจีนบุรี จำกัด ขนาดกาลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ (MW) โครงการตั้งอยู่ที่ ตำบลเนินหอม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี โดยมีมูลค่าการเข้าทารายการเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 267.50 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯจะเข้าลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินสำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตร ในพื้นที่ของสหกรณ์การเกษตรเมืองปราจีนบุรี ซึ่งมีกำลังการผลิตขนาด 5 เมกะวัตต์ (MW) ที่ ตำบลเนินหอม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งโครงการดังกล่าวจะต้องเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2559
สำหรับ ปราจีน โซล่า เป็นผู้รับโอนสิทธิในการเข้าเป็นผู้สนับสนุนโครงการในการดำเนินการโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน สำหรับหน่วยงานราชการและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ.2558 ตามสิทธิของเจ้าของโครงการ สหกรณ์การเกษตรเมืองปราจีนบุรีตั้งอยู่ที่ ตำบลเนินหอม อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี เป็นระยะเวลา 25 ปี นับแต่วันที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ โดยมีบริษัท อะควาติส เอ็นเนอร์จี จำกัด ถือหุ้น 48% ของทุนจดทะเบียน จำนวนหุ้นสามัญ 2,999,999 หุ้น โดยมีสิทธิในการลงมติและรับเงินปันผลในสัดส่วน 99.99%

ประธานกรรมการ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EPCO) กล่าวอีกว่า การเข้าลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์สอดคล้องกับแผนและกลยุทธ์ในการลงทุนและดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ โดยมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว ที่กำหนดปริมาณและราคารับซื้อไฟฟ้าไว้อย่างแน่นอนตลอด 25 ปี จะทำให้บริษัทฯมีรายได้ที่คงที่และลดความเสี่ยงทางธุรกิจ โดยแหล่งเงินทุนที่ใช้บริษัทฯจะใช้กระแสเงินสดหรือเงินทุนหมุนเวียนจากการดาเนินงานของบริษัทฯ หรือกู้ยืมจากธนาคาร

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.ryt9.com/s/prg/2534994

14/10/59 ปตท.ทุ่ม 2.45 หมื่นล้านลงทุน 5 ปี


ประจำวันที่ 14/10/59




นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการลงทุนในธุรกิจน้ำมันระหว่างปี 2559-2563 ว่า ปตท.จะใช้งบประมาณรวม 24,500 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในประเทศไทย 20,000 ล้านบาท ลงทุนในอาเซียน 4,500 ล้านบาท โดยอาเซียนจะเป็นการลงทุนในธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (นอนออยล์) อาทิ กิจการอเมซอนคาเฟ่ มินิมาร์ทจิฟฟี่ การจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่น โดยการลงทุนในต่างประเทศ ตั้งเป้าสร้างรายได้ให้กับ ปตท.55,000 ล้านบาทภายในปี 2563 จากปัจจุบันธุรกิจน้ำมันและนอนออยล์มีรายได้อยู่ที่ปีละ 24,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ล่าสุด ปตท.ได้เปิดสถานีบริการน้ำมัน (ปั๊ม) ปตท.ที่จังหวัดเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา รวม 2 แห่ง ซึ่งเป็นปั๊มน้ำมันแบบครบวงจร และมีปั๊ม ปตท.ในกัมพูชา ขณะนี้รวม 28 แห่ง ตั้งเป้าในปี 2563 จะมีปั๊มน้ำมัน ปตท.รวม 90 แห่ง ซึ่งจะทำให้ธุรกิจน้ำมันในกัมพูชาของ ปตท.มีรายได้ในปีดังกล่าวรวม 10,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ปตท.ยังมีแผนขยายกิจการร้านกาแฟ “อเมซอน” ในกัมพูชา ต่อเนื่อง ทั้งที่อยู่ในปั๊ม ปตท.และนอกปั๊ม ปตท.เพราะผู้บริโภคกัมพูชานิยมดื่มกาแฟเพิ่มมากขึ้น เดือนพ.ย.นี้ ปตท.จะเสนอให้คณะกรรมการ ปตท.พิจารณาปรับแผนลงทุนธุรกิจร้านกาแฟอเมซอนในอาเซียนใหม่อีกครั้ง จากเดิมตั้งเป้าหมายปี 2563 จะมีร้านกาแฟอเมซอนในอาเซียนรวม 200 แห่ง เพราะพบว่าผู้ประกอบการท้องถิ่นในอาเซียน สนใจขอซื้อลิขสิทธิ์ไปเปิดกิจการเป็นจำนวนมาก เฉพาะในกัมพูชา มีผู้เสนอขอซื้อสิทธิ์ประมาณ 100 ราย “ธุรกิจน้ำมันในอาเซียนปี 2563 ปตท.ตั้งเป้าขยายปั๊มน้ำมันในอาเซียน 500 แห่ง จากปัจจุบันอยู่ที่ 170 แห่ง”


ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.thairath.co.th/content/753376

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

12/10/59 'จีน' ความหวังใหม่ของโลก ทุ่มงบ 1.5 ล้านล้านบาทรับทัพนักลงทุน


ประจำวันที่ 12/10/59

นายเฉียน เหวินฮุย ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา ธนาคารไอซีบีซี จำกัด แห่งประเทศจีน เปิดเผยว่า ธนาคารไอซีบีซี (ไทย) ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จัดสัมมนา SINO-THAI Business Investment Forum 2016 เพื่อสนับสนุนการค้าการลงทุนระหว่างไทยและจีน โดยเชิญนักลงทุนในอุตสาหกรรม เช่น หัวเว่ย, ไชน่า เรลเวย์ คอนสตรัคชั่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี และอมตะ คอร์ปอเรชั่น ผู้บริหารจากธนาคารไอซีบีซี ประเทศจีน และตัวแทนจาก 4 มณฑล ได้แก่ กว่างซีจ้วง ยูนนาน เหอเป่ย เฮยหลงเจียง และเมืองชิงเต่า พร้อมตัวแทนธนาคารไอซีบีซี ที่ตั้งกิจการอยู่ในทวีปเอเชียอีก 9 แห่ง รวมถึงนักลงทุนจีนที่เข้ามาลงทุนไทย โดยมีผู้ร่วมงาน 300 คน
ภายในงาน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และเฉียน เหวินฮุย ได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามสัญญาความร่วมมือระหว่างธนาคารไอซีบีซี (ไทย) กับ 6 บริษัทคู่ค้ารายใหญ่ คือ หัวเว่ย เทคโนโลยี, หัวอี๋ กรุ๊ป, ไชน่า เรลเวย์ คอนสตรัคชั่น, อาเซียน โปแตช ชัยภูมิ, ทีอาร์ซี คอนสตัคชั่น และจงเช่อ รับเบอร์ (ไทยแลนด์)
นายจื๊อกัง กลี่ ประธานกรรมการ ธนาคารซีไอเอ็มบี (ไทย) กล่าวว่า 7 เดือนแรกของปีนี้ มีบริษัทจีนเข้ามาลงทุนในไทย 525 บริษัท มูลค่ารวม 2,150 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารได้สนับสนุนสินเชื่อ 200 ล้านบาท และในปีหน้ายอดสนับสนุนสินเชื่อให้นักลงทุนจีนก็จะเติบโต 20-30% ซึ่ง อุตสาหกรรมที่นักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนคือ การผลิตยางรถยนต์ ยานยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ พลังงานทดแทน แปรรูปสินค้าเกษตร อสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม แต่จีนยังมีความกังวลในเรื่องของ นโยบายภาษี ค่าแรงงาน และนโยบายการสนับสนุนนักธุรกิจจีน ที่เข้ามาลงทุนในไทย
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานดังกล่าวว่า เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอยและไร้วี่แววแห่งการฟื้นตัว แม้ว่าปราชญ์โบราณกล่าวไว้เสมอว่า โอกาสอันยิ่งใหญ่ มักจะตามมาจากวิกฤตการณ์ และเราพูดกันมาตั้งแต่ก้าวสู่ศตวรรษใหม่แล้วว่า เป็นศตวรรษแห่งเอเชีย แต่ก็ยังไร้วี่แววที่ชัดเจน จะมีแต่จีนที่เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วและโดดเด่น แต่ขณะนี้โลกได้เชื่อมั่นแล้วว่าโอกาสของเอเชียกำลังจะมาถึง เอเชียกำลังจะผงาด แม้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง แต่ก็ยังเต็มไปด้วยพลังที่จะขับเคลื่อนให้เดินหน้าต่อไปได้
ดังนั้น ประเทศไทยจึงจะเร่งรัด เพื่อให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับนักลงทุน โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางคมนาคมทั้งถนน มอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้าความเร็วสูง ที่เชื่อมโยงเหนือสู่ใต้ ตะวันออกสู่ตะวันตก สนามบิน ท่าเรือ มูลค่ารวมการลงทุนใน 5 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 43,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1,505,000 ล้านบาท
โครงการต่าง ๆ เหล่านี้จะทยอยเรียกประกวดราคาตั้งแต่ไตรมาสนี้และปี 2560 โดยปีหน้าเป็นปีแห่งการขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ หลาย ๆ โครงการจะใช้ระบบร่วมลงทุนภาครัฐและเอกชน (พีพีพี) เพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนไทยและต่างประเทศได้เข้ามามีส่วนร่วม โครงการลงทุนสำคัญๆ คือ การลงทุนในพื้นฐานดิจิทัลที่ ใน 5 ปีข้างหน้า จะมีโครงการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนมูลค่ารวม 12,000-15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

“โครงการลงทุนที่สำคัญ ๆ ได้แก่ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อให้เป็นแหล่งลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต โดยมีการตระเตรียมพื้นที่สำหรับนักลงทุน จึงขอเชิญชวนนักลงทุนจากจีนให้มาลงทุนในประเทศไทย ผมในฐานะรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ จะดูแลนักลงทุนให้ได้รับความสะดวกและเป็นธรรมในทุก ๆ ด้าน”

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.msn.com/th-th/news/other/จีน-ความหวังใหม่ของโลก-ทุ่มงบ-15-ล้านล้านบาทรับทัพนักลงทุน/ar-BBxgG5m